เหตุใด Game Boy จึงคว้าชัยในสงครามเครื่องเกมพกพายุคแรก

ในช่วงยุคปี 80 จนถึงต้นยุค 90 เป็นช่วงที่บริษัทเกมแข่งขันกันอย่างมากในการสร้างเครื่องเกมเพื่อครองตลาด ไม่ว่าจะเป็น Nintendo เจ้าตลาดที่ครองด้วยเครื่อง Famicom ตามมาด้วย Sega น้องใหม่ที่ต้องการจะท้าชิงบัลลังก์จาก Nintendo และ Atari อดีตแชมป์ที่พยายามจะทวงคืนบัลลังค์เดิมของตน แทรกมานิดๆ ด้วย NEC ที่แอบมองศึกนี้อย่างเงียบๆ โดยหวังจะฮุบตลาดเช่นกัน ซึ่งหลายๆ คนยอมรับว่านี้คือ 1 ในยุคสงครามเครื่องคอนโซลที่มันส์ที่สุดในประวัติศาตร์ และการมาของตลาดเครื่องเกมคอนโซลที่ต้องเล่นในบ้าน เริ่มจะไม่เพียงพอต่อความคิดของคนในบริษัท รวมถึงไอเดียที่พวกเขากระฉูดกันมาได้ทุกเมื่อ ความคิดการมีเครื่องเกมที่สามารถนำไปเล่นได้ทุกที่จึงผุดขึ้นมา นั่นก็คือ เครื่องเกมพกพา นี่เอง

จริงๆ แล้วในสมัยก่อน เครื่องเกมพกพาก็ถือกำเนิดมานานแล้ว แต่ว่าเกมที่เล่นจะเป็นพวกเกมง่ายๆ ซึ่งเครื่องเกมพกพายุคนั้นก็จะดัดแปลงจากพวกวงจรของเครื่องคิดเลขมากกว่า ทำให้การแสดงผลค่อนข้างจำกัดอย่างมาก แต่ว่าในยุค 80 จนถึงต้น 90 เทคโนโลยีมีการพัฒนาไปไกลพอสมควรแล้ว การสร้างเครื่องเกมพกพาที่เป็นเครื่องเกมจริงๆ ก็เริ่มต้นขึ้น โดย Nintendo เริ่มเปิดตัว Game Boy ส่วนทาง Sega ก็เปิดตัว Game Gear ในขณะที่ Atari ก็เปิดตัว Atari Lynx และ Nec เปิดตัว TurboGrafx 16x ซึ่งหากวัดคุณภาพเครื่องแล้ว เครื่องที่แรงที่สุดคือ TurboGrafx 16x ที่เหมือนเอาเครื่องเกม 16-Bit มาเล่นแบบพกพา ส่วนเครื่องที่ประสิทธิภาพน้อยที่สุดคือ Game Boy โดยในลิสต์นี้ Game Boy เป็นเพียงเครื่องเดียวที่ใช้จอแบบเขียวเหลือง ต่างจากเจ้าอื่นที่ใช้เป็นจอสี

แต่ในศึกเครื่องเกมพกพานี้ ฝ่ายที่ได้รับชัยชนะแบบขาดลอยก็คือ Game Boy ที่สามารถทำยอดขายเครื่องไปกว่า 118 ล้านเครื่องแบบชิลๆ ทิ้งคู่แข่งแบบขาดลอย (เครื่องที่มียอดขายน้อยที่สุดในเจนเดียวกันคือ Atari Lynx ที่ทำไปเพียง 3 ล้านเครื่องทั่วโลก) แต่เพราะอะไร ทำไมเครื่องเกมที่ประสิทธิภาพด้อยที่สุดในตลาดกลับกลายเป็นเครื่องเกมที่ขายดีที่สุดแทน หลักๆ สำคัญเลยคือเรื่องของ "ราคา" ครับ เนื่องจากราคาของเครื่องเกมพกพาในตลาดล้วนสูงกว่า 150 เหรียญแทบทั้งนั้น แต่ว่า Game Boy กลับแหวกตลาดและบอกว่า ข้าขายเพียง 89.99 เหรียญเท่านั้น ทำให้คนซื้อตัดสินใจได้ง่ายทันทีว่าจะซื้อเครื่องเกมไหน แถมบวกด้วยเครดิตของ Nintendo ที่กำลังป๊อปจากเครื่อง Famicom ยิ่งทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อง่ายขึ้นกว่าเดิม

ส่วนทำไม Nintendo ถึงกล้าที่จะขายราคาตัดตลาดแบบนี้นั้น มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกจากการที่เป็นเครื่องที่มีประสิทธิภาพด้อยที่สุด โดยเฉพาะการเลือกที่จะไม่ใช้จอสี ทำให้ช่วยลดต้นทุนการผลิตลงไปอย่างมากมายมหาศาล และที่สำคัญคือช่วยประหยัดแบตเตอรี่ในการเล่นได้อย่างมาก เพราะแม้เครื่องเกมรายอื่นจะมีประสิทธิภาพเหนือกว่า แต่ Game Boy กลับเป็นเครื่องเกมพกพาที่มีอายุการเล่นอึดที่สุดในกลุ่ม (เล่นติดต่อกันได้ประมาณ 10 ชั่วโมง) และด้วยการที่ยอดขายเครื่องการันตี จึงไม่แปลกใจที่จะทำให้บริษัทเกมกลุ่ม 3rd Party หันมาสร้างเกมให้กับทาง Game Boy มากกว่าเครื่องอื่น เพราะด้วยยอดขายและความนิยมเลยยิ่งทำให้ Game Boy มีเกมสนับสนุนมากมาย และขายดียิ่งขึ้นไปอีก

ท้ายที่สุด การได้รับชัยชนะของ Nintendo ครั้งนี้เป็นเครื่องยืนยันว่าบางครั้งการทำเครื่องที่มีประสิทธิภาพสูงๆ อาจจะไม่ตอบโจทย์คนซื้อ แต่การตั้งราคาให้เหมาะสม การผลิตที่ไม่เปลืองต้นทุนมากไป และการใช้งานที่เข้ากับไลฟ์สไตล์ของคนใช้ เป็นคำตอบไปสู่ความสำเร็จทันที

คำที่เกี่ยวข้อง

OSstaff
OSstaff
OS newsletter

สมัครรับข่าว OS

คุณอาจสนใจเรื่องนี้

Quick Menu